วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

ยาคุมกำเนิดใช้อย่างไร ในแม่หลังคลอด

หลังจากการมีประจำเดือนวันแรก  ร่างกายจะเตรียมพร้อมสำหรับการตกไข่ในรอบเดือนถัดไป  โดยการหลั่งฮอร์โมน FSH จากต่อมใต้สมอง  ทำให้รังไข่และไข่เจริญเติบโตจนสามารถสร้างฮอร์โมน estrogen ไปกระตุ้นการสร้างผนังเยื่อบุมดลูกให้หนาขึ้น  เพื่อรองรับการฝังตัวของไข่หลังเกิดการปฏิสนธิได้

ยาคุมกำเนิดใช้อย่างไร ในแม่หลังคลอด thaihealth

ฮอร์โมน estrogen ยังไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมน LH เพื่อให้เกิดการตกไข่ซึ่งจะเกิดหลังจากการมีประจำเดือนวันแรก 14 วัน  หลังจากนั้นไข่จะเคลื่อนตัวมายังปีกมดลูกเพื่อพร้อมรับการปฏิสนธิจากอสุจิ  หากไม่มีการปฏิสนธิสนธิเกิดขึ้นไข่จะสลายไปพร้อมกับเยื่อบุโพรงมดลูกภายในระยะเวลา 14 วันหลังการตกไข่  และขับออกมาทางช่องคลอดเป็นประจำเดือน  ดังนั้นการมีประจำเดือนในครั้งถัดไปจะเกิดหลังจากการมีประจำเดือนครั้งก่อนประมาณ 28 วัน
การรับประทานยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลายกลไก  เช่น  ลดการหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการตกไข่  เปลี่ยนแปลงเยื่อบุผนังมดลูกให้ไม่เหมาะแก่การฝังตัวของไข่  หรือทำให้เยื่อบุปากมดลูกข้นเหนียว ขัดขวางการผ่านของอสุจิ  ซึ่งยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานต่อเนื่องที่ใช้กันอยู่ทั่วไปมีสองชนิดได้แก่ ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมน estrogen ร่วมกับฮอร์โมน progestrogen (combined hormonal contraceptives; CHCs) ในเม็ดเดียว และชนิดที่มีฮอร์โมน progestrogen เพียงชนิดเดียว (progestin-only hormonal contraceptives; POCs) ซึ่งประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยา CHCs จะเหนือกว่ายา POCs  จึงแนะนำยาคุมกำเนิดชนิด CHCs มากกว่าในการคุมกำเนิดผู้หญิงปกติ
สำหรับคุณแม่หลังคลอดจะมีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องผลข้างเคียงจากยา CHCs เนื่องจากฮอร์โมน estrogen มีผลลดการผลิตน้ำนม  ส่งผลกระทบต่อคุณแม่ที่ต้องการให้นมลูกด้วยตัวเอง  นอกจากนั้นแล้วผลข้างเคียงที่สำคัญของฮอร์โมน estrogen อีกอย่าง คือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด  เนื่องจากร่างกายหญิงตั้งครรภ์ในช่วงใกล้คลอด จะมีการสร้างสารโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะการไหลเวียนโลหิต  ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อลดการสูญเสียเลือดของแม่และทารกในขณะคลอด  ซึ่งการรับประทานยาฮอร์โมน estrogen ร่วมด้วยจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันมากยิ่งขึ้น1,2
ดังนั้นสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ไม่ได้ให้นมลูก ควรรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด CHCs ได้ภายหลังจากการคลอดผ่านไป 42 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ร่างกายมีการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตกลับสู่ภาวะปกติอย่างสมบูรณ์  ส่วนคุณแม่ที่ให้นมลูกควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด CHCs ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังการคลอด เพื่อป้องกันผลการลดน้ำนมจากฮอร์โมน estrogen ในยาดังกล่าว2,3
ซึ่งในระหว่างที่หยุดการรับประทานยาคุมกำเนิดในช่วงเวลาดังกล่าว  หากคุณแม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด POCs ซึ่งมีเพียงฮอร์โมน progestrogen เพียงชนิดเดียว  จึงไม่ได้รับผลข้างเคียงจากฮอร์โมน estrogen ดังที่กล่าวไปข้างต้น  แต่ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะด้อยกว่าการใช้ยา CHCs จึงควรมีการคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นร่วมด้วย  เช่น การใช้ถุงยางอนามัยในเพศชาย  หรือการนับวันที่เป็นระยะปลอดภัยสำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์คือช่วงเวลา 7 วันก่อนการมีประจำเดือนในครั้งถัดไป และช่วง 7 วันหลังการมีประจำเดือน  เป็นต้น  อย่างไรก็ตามในคุณแม่ที่ให้นมลูกจะมีการตกไข่อีกครั้งหลังการคลอดในระยะเวลา 9 สัปดาห์ถึง 18 เดือน  ซึ่งช้ากว่าคุณแม่ที่ไม่ได้ให้นมลูกที่จะเริ่มมีการตกไข่อีกครั้งเมื่อผ่านไป 25 วันหลังการคลอด3 
ทั้งนี้เมื่อพ้นช่วงในการหยุดรับประทานยา CHCs ดังกล่าว  คือ 6 เดือนในแม่ที่ให้นมลูก และ 42 วันในแม่ที่ไม่ได้ให้นมลูก  คุณแม่สามารถกลับมารับประทานยาคุมกำเนิดชนิด CHCs ได้อย่างปกติ  ซึ่งในคุณแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด  การพิจารณาใช้ยาทุกชนิดควรอยู่ในความดูแลของสูตินารีแพทย์ และเภสัชกรในการให้คำแนะนำด้านการใช้ยาอย่างถูกต้อง

อาหารเป็นพิษ

อาหารเป็นพิษ thaihealth
อาหารเป็นพิษ ในที่นี้หมายถึง อาการท้องเดิน (อุจจาระร่วง) เนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษที่เกิดจากเชื้อโรคปนเปื้อน เป็นสาเหตุของอาการท้องเดินที่พบได้บ่อยในหมู่คนทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะมีอาการไม่รุนแรง และทุเลาได้เองภายใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง สามารถให้การดูแลรักษาอย่างง่ายๆ ด้วยการทดแทนน้ำและเกลือแร่ด้วยสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ส่วนน้อยที่อาจรุนแรง จนต้องให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ก็ควรแยกแยะสาเหตุจากโรคอื่นๆ ที่จำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยาต่างๆ เพิ่มเติม
ชื่อภาษาไทย         อาหารเป็นพิษ
ชื่อภาษาอังกฤษ     Food poisoning
สาเหตุ     
มีเชื้อโรคหลายชนิดที่สามารถปล่อยสารพิษ (toxin) ออกมาปนเปื้อนในอาหารต่างๆ เช่น น้ำดื่ม เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ไข่ นม อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์จากนม เนยแข็ง ข้าว ขนมปัง สลัด ผัก ผลไม้ เป็นต้น
เมื่อคนเรากินอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษดังกล่าว ก็จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน สารพิษหลายชนิดทนต่อความร้อน ถึงแม้จะปรุงอาหารให้สุกแล้ว สารพิษก็ยังคงอยู่และก่อให้เกิดโรคได้
ระยะฟักตัวขึ้นกับชนิดของเชื้อโรค บางชนิดมีระยะฟักตัว ๑-๘ ชั่วโมง บางชนิด ๘-๑๖ ชั่วโมง บางชนิด ๘-๔๘ ชั่วโมง
อาการ
อาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคต่างๆ จะมีอาการคล้ายๆ กัน คือ ปวดท้องในลักษณะปวดบิดเป็นพักๆ อาเจียน (ซึ่งมักมีเศษอาหารที่เป็นต้นเหตุออกมาด้วย) และถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง บางรายอาจมีไข้และอ่อนเพลียร่วมด้วย
โดยทั่วไป ถ้าเป็นไม่รุนแรง อาการต่างๆ มักจะหายได้เองภายใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง บางชนิดอาจนานถึงสัปดาห์
ในรายที่เป็นรุนแรง อาจอาเจียนและท้องเดินรุนแรง จนร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรงได้ อาจพบว่า ผู้ที่กินอาหารร่วมกันกับผู้ป่วย (เช่น งานเลี้ยง คนในบ้านที่กินอาหารชุดเดียวกัน) ก็มีอาการแบบเดียวกับผู้ป่วยในเวลาไล่เลี่ยกัน
การแยกโรค
อาการท้องเดิน ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง หรืออุจจาระร่วง อาจมีสาเหตุได้มากมาย ที่พบได้บ่อย มีดังนี้
๑. ถ้ามีไข้ร่วมด้วย นอกจากอาหารเป็นพิษแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- อุจจาระร่วงจากไวรัส มักพบในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งมีอยู่หลายชนิด และอาจพบว่าเป็นพร้อมกันหลายคน เนื่องจากติดต่อกันได้ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง อ่อนเพลีย อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ อาจเป็นนานถึงสัปดาห์ก็ได้
- บิดชิเกลล่า เริ่มแรกจะมีอาการไข้สูง อ่อนเพลีย ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง อาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย อีก ๑๒-๒๔ ชั่วโมงต่อมา อาการถ่ายเป็นน้ำลดลง แต่กลายเป็นถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดกะปริดกะปรอย คล้ายถ่ายไม่สุด ปวดเบ่ง อยากถ่ายอยู่เรื่อย (อาจถ่ายชั่วโมงละหลายครั้ง หรือวันละ ๑๐-๒๐ ครั้ง) โรคนี้เกิดจากการกินอาหารปนเปื้อนเชื้อชิเกลล่า (shigella) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง จำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
๒. ถ้าไม่มีไข้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- เกิดจากยา ที่พบบ่อย ได้แก่ ยาถ่าย (เช่น ดีเกลือ ยาระบายแมกนีเซีย มะขามแขก) ยาลดกรด ยารักษาโรคเกาต์ (คอลชิซิน) ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น ทำให้มีอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง
- เกิดจากกินสารพิษ ได้แก่ สารเคมี (เช่น ยาฆ่าแมลง สารหนู ตะกั่ว ปรอท) พืชพิษ (เช่น เห็ดพิษ กลอย) สัตว์พิษ (เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย หอยทะเล คางคก) ผู้ป่วยมักมีอาการอาเจียน ปวดท้อง อาจมีอาการถ่ายท้อง และอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หยุดหายใจ ชักกะตุก ชาบริเวณริมฝีปากหรือใบหน้า ดีซ่าน เป็นต้น
- อหิวาต์ เกิดจากการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้ออหิวาต์ มีอาการปวดท้องถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง คล้ายอาหารเป็นพิษ อาจพบมีการระบาดของโรคในละแวกบ้านของผู้ป่วย
๓. ถ้าเป็นเรื้อรัง (ถ่ายทุกวันนานเกิน ๓ สัปดาห์ หรือเป็นๆ หายๆ บ่อย) อาจมีสาเหตุ เช่น
- เกิดจากลำไส้ไวต่อสิ่งกระตุ้น บางคนหลังกินอาหารบางอย่าง (เช่น นม ของเผ็ด น้ำส้มสายชู เหล้า กาแฟ) ก็จะกระตุ้นให้ลำไส้ขับเคลื่อนเร็ว เกิดอาการปวดท้องถ่าย และถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายอุจจาระเหลว  ๒-๓ ครั้ง ภายในครึ่งชั่วโมงหลังกินอาหาร มักเป็นไม่รุนแรง แต่จะเป็นบ่อยเมื่อกินอาหารชนิดนั้นๆ อีก
- โรคลำไส้แปรปรวน พบในคนวัยหนุ่มสาวขึ้นไป มักมีสาเหตุจากความเครียด หรือจากอาหารบางชนิด ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องถ่าย และถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำวันละหลายครั้งทุกวันในช่วงที่มีความเครียด หรือถ่ายเหลวหรือเป็นน้ำ ๑-๒ ครั้ง หลังกินอาหารทันที อาการมักไม่รุนแรงและมีสุขภาพแข็งแรง บางคนอาจมีอาการเป็นๆ หายๆ มานานหลายปี หรือนับสิบๆ ปี
- โรคพร่องเอนไซม์แล็กเทส บางคนอาจพร่องมาแต่กำเนิด บางคนอาจพร่องชั่วคราวหลังจากมีอาการท้องเดินจากการติดเชื้อ ทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็กโทสที่อยู่ในนม ผู้ป่วยมักมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ถ่ายเป็นน้ำหลังดื่มนมทุกครั้ง โดยทั่วไปมักมีสุขภาพแข็งแรงดี และถ้าไม่ดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนมก็จะไม่มีอาการ
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป ผู้ป่วยอยู่ๆ มีอาการถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง ทุกวันนานเป็นสัปดาห์ถึงแรมเดือน ต่อมาจะมีอาการน้ำหนักลดฮวบฮาบ อ่อนเพลีย บางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นเลือดสดร่วมด้วย
- อื่นๆ เช่น เบาหวาน เอดส์ คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น ผู้ป่วยมักมีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้งทุกวัน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดฮวบฮาบ
ถ้าเป็นเอดส์มักมีไข้เรื้อรังร่วมด้วย
ถ้าเป็นเบาหวาน อาจมีอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย และหิวข้าวบ่อย ร่วมด้วย
ถ้าเป็นคอพอกเป็นพิษ มักมีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว มือสั่น เหงื่อออกมากร่วมด้วย
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงของผู้ป่วยเป็นหลัก ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน อาจมีประวัติว่าผู้ที่กินอาหารด้วยกันบางคนหรือหลายคน (เช่น งานเลี้ยง คนในบ้าน) มีอาการท้องเดินในเวลาไล่เลี่ยกัน
ในรายที่มีอาการรุนแรง มีไข้สูง หรือสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ เป็นต้น
ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจทำการถ่ายภาพลำไส้ด้วยรังสี หรือใช้กล้องส่องตรวจทางเดินอาหารเพิ่มเติม
การดูแลตนเอง
•   ในผู้ใหญ่และเด็กโต
๑. ถ้าปวดท้องรุนแรง ถ่ายท้องรุนแรง (อุจจาระเป็นน้ำครั้งละมากๆ) อาเจียนรุนแรง (จนดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่หรือน้ำข้าวต้มไม่ได้) เมื่อลุกขึ้นนั่งมีอาการหน้ามืดเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง (ปากแห้ง คอแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็ว) ต้องไปหาหมอโดยเร็ว
๒. ถ้าไม่มีอาการดังข้อ ๑ ให้ปฏิบัติดังนี้
๒.๑ ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ อาจใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ ชนิดสำเร็จรูปที่มีขายในท้องตลาด หรืออาจผสมเองโดยใช้น้ำสุก ๑ ขวดกลมใหญ่ (๗๕๐ มล.) ใส่น้ำตาลทราย ๓๐ มล. (เท่ากับช้อนยาเด็ก ๖ ช้อน หรือช้อนกินข้าวชนิดสั้น ๓ ช้อน) และเกลือป่น ๒.๕ มล. (เท่ากับช้อนยาครึ่งช้อน หรือช้อนยาวที่ใช้คู่กับซ่อมครึ่งช้อน) พยายามดื่มบ่อยๆ ครั้งละ ๑ ใน ๓ หรือครึ่งแก้ว (อย่าดื่มมากจนอาเจียน) ให้ได้มากพอกับที่ถ่ายออกไป โดยสังเกตปัสสาวะให้ออกมากและใส
๒.๒ ถ้ามีไข้ ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
๒.๓ ให้กินอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก งดอาหารรสเผ็ดและย่อยยาก งดผักและผลไม้ จนกว่าอาการจะหายดีแล้ว
๒.๔ ห้ามกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายอุจจาระ
๓. ควรรีบไปหาหมอ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- อาเจียนมาก ถ่ายท้องมาก กินไม่ได้ หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ไม่ได้ หรือได้น้อย จนมีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง
- มีอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือดตามมา
- มีอาการหนังตาตก ชารอบปาก แขนขาอ่อนแรง หรือหายใจลำบาก
- อาการไม่ทุเลาภายใน ๔๘ ชั่วโมง
- มีอาการเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดฮวบฮาบ
- สงสัยเกิดจากสารพิษ เช่น สารเคมี พืชพิษ สัตว์พิษ
- สงสัยเกิดจากอหิวาต์ เช่น สัมผัสผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในถิ่นที่กำลังมีการระบาดของโรคนี้ (มักเกิดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน)
•    ในเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า ๕ ขวบ)
๑. ถ้าดื่มนมแม่อยู่ ให้ดื่มนมแม่ต่อไป (ถ้าดื่มนมผสมอยู่ ให้ชงเจือจางเท่าตัวและดื่มต่อไป) และดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือเพิ่มเติม เมื่อมีอาการดีขึ้น ให้กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย (เช่น ข่าวต้ม) ไม่ต้องให้ยาที่ใช้แก้ท้องเดินชนิดใดทั้งสิ้น
๒. ถ้าถ่ายท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง ดื่มนมหรือน้ำไม่ได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุ๋มมาก (ในเด็กเล็ก) หายใจหอบแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นใน ๒๔ ชั่วโมง ต้องไปหาหมอโดยเร็ว
การรักษา
แพทย์จะให้การรักษา ตามความรุนแรงของโรคดังนี้
๑. ถ้ารุนแรงไม่มาก ยังกินได้ และขาดน้ำไม่มาก (ลุกเดินได้ ไม่หน้ามืด) ก็จะให้การรักษาตามอาการและให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (แบบเดียวกับที่แนะนำในหัวข้อ “การดูแลตนเอง”)
๒. ถ้ารุนแรง ถึงขั้นขาดน้ำรุนแรง (มีอาการใจหวิว ใจสั่น จะเป็นลม มือเท้าเย็น  ปัสสาวะออกน้อยมาก) หรืออาเจียนรุนแรง ถ่ายรุนแรง หรือกินไม่ได้ ก็จะต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ จนกว่าจะทุเลา
๓. ถ้าสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่พบว่าเป็นบิดชิเกลล่า หรืออหิวาต์ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อน
ที่สำคัญ คือ ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งพบในรายที่มีอาการถ่ายมาก อาเจียนมาก กินไม่ได้ ถ้าขาดน้ำรุนแรงและแก้ไขไม่ทันก็อาจเกิดภาวะช็อก (ตัวเย็น กระสับกระส่าย เป็นลม) ถึงขั้นเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก คนสูงอายุหรือมีโรคเรื้อรังประจำตัว (เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน)
การดำเนินโรค
ในรายที่เป็นเล็กน้อย มักจะหายได้เอง ภายใน ๒๔-๔๘ ชั่วโมง
ในรายที่เป็นรุนแรง เมื่อได้รับสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือ น้ำเกลือ (ทางหลอดเลือดดำ) ก็มักจะป้องกันภาวะแทรกซ้อน และหายได้ภายใน ๒-๓ วัน (ไม่เกิน ๑ สัปดาห์)
ส่วนในรายที่เป็นรุนแรง และขาดการรักษาด้วยการทดแทนน้ำและเกลือแร่ ก็อาจเกิดภาวะขาดน้ำถึงขั้นอันตรายได้ภายใน ๑-๒ วัน
การป้องกัน
๑. ดื่มน้ำสะอาด
๒. ควรล้างมือก่อนเปิบข้าวและหลังถ่ายอุจจาระ
๓. กินอาหารที่สุกใหม่ ไม่มีแมลงวันตอม (แม้ว่าอาจป้องกันอาหารเป็นพิษจากเชื้อโรคบางชนิดไม่ได้ แต่ก็สามารถป้องกันการเกิดท้องเดินจากการติดเชื้ออื่นๆ เช่น บิด อหิวาต์)
ความชุก
พบได้บ่อยในคนทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ยังมีการสุขาภิบาลไม่ดี

กินข้าวแล้วอ้วนจริงหรือ

กินข้าวแล้วอ้วนจริงหรือ thaihealth
"บางคนเลือกที่จะไม่กินข้าว หรือแม้กระทั่งอาหารจำพวกแป้งอื่นๆ เลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิด"
เมื่อต้องลดความอ้วน อาหารอย่างแรกๆ ที่จะถูกตัดออกจากโต๊ะอาหารมักจะเป็นเมนูขนมปัง เนย นม และข้าว ไปในทันที ซึ่งอาจเป็นความคิดที่ผิดและพร้อมทำลายสุขภาพเราให้แย่ลงได้ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องโภชนาการกับความอ้วนให้ถูกต้อง โสพรรณ มานะธัญญา นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย และ ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย จึงร่วมกันจัดแคมเปญใหญ่รณรงค์ให้คนไทยมีความรู้เรื่องโภชนาการเกี่ยวกับการบริโภคข้าวที่ถูกต้องด้วยโครงการประกวดคลิปสั้น 30 วินาที ในหัวข้อ "อ้วนไม่อ้วนไม่เกี่ยวกับข้าว" พร้อมเผยข้อมูลวิชาการที่ถูกต้อง รณรงค์ให้ทุกคนลดความอ้วนด้วยการกินและใช้ชีวิตอย่างสมดุล ไม่ใช่งดข้าวในทุกๆ มื้อ
ตามที่โสพรรณ เผยว่า ปัจจุบันกระแสนิยมรักสุขภาพของคนไทยได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกกำลังกาย หรือการรับประทานอาหารโดยผู้บริโภคมีการตื่นตัวที่จะใส่ใจเลือกอาหารการกินของตัวเองมากขึ้น ทั้งคำนวณแคลอรี ใช้สูตรอาหารควบคุมน้ำหนัก แต่ก็ยังมีประเด็นที่ยังเข้าใจการรักษาสุขภาพแบบที่เข้าใจข้อมูลผิดๆ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ต้องการควบคุมน้ำหนักใช้วิธีเลิกกินข้าว เพราะเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าข้าวทำให้อ้วน แต่หันไปกินอาหารอย่างอื่นแทน ในขณะที่ในต่างประเทศนั้นเปลี่ยนจากการกินขนมปังมาเป็นข้าว เพราะข้าวให้คุณประโยชน์มากกว่าและให้แคลอรีน้อยกว่าในความเป็นจริง
ซึ่งจากการศึกษาตารางโภชนาการอาหารเปรียบเทียบแคลอรีจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข เผยว่า อาหารแต่ละชนิดที่ปริมาณ 100 กรัมเท่ากัน ข้าว ให้พลังงาน 133 กิโลแคลอรี ในขณะอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแบบเดียวกัน เช่น ขนมปัง ให้พลังงาน 267 กิโลแคลอรี, เส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ให้พลังงาน 400 กิโลแคลอรี, ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ให้พลังงาน 160 กิโลแคลอรี ซึ่งล้วนให้พลังงานสูงกว่าการกินข้าวทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งอาหารคลีนที่นิยมรับประทานกันก็มีแคลอรีสูงกว่าข้าวแบบที่ทุกคนอาจจะนึกไม่ถึง อาทิ อกไก่ไม่ติดหนัง ให้พลังงาน 173 กิโลแคลอรี, เนื้อปลาไม่ติดหนัง ให้พลังงาน 173 กิโลแคลอรี, เนื้อวัวไม่ติดมัน ให้พลังงาน 233 กิโลแคลอรี, หมูย่าง ให้พลังงาน 333 กิโลแคลอรี จะเห็นได้ว่าการกินข้าวไม่ได้ทำให้อ้วนอย่างที่คิดแต่สาเหตุที่ทำให้อ้วนนั้นเป็นเพราะว่ามีการใช้พลังงานน้อยกว่าสิ่งที่กินเข้าไปในแต่ละวัน ในขณะเดียวกันคนที่เข้าใจผิดว่ากินข้าวแล้วอ้วนนั้นบางคนเลือกที่จะไม่กินข้าว หรือแม้กระทั่งอาหารจำพวกแป้งอื่นๆ เลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผิดไม่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมากเพราะเมื่อไม่กินข้าวเลยร่างกายจะขาดสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ขาดวิตามินบีทำให้การเผาผลาญช้าลง ขาดพลังงานจนอ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด กินอาหารก็ไม่อยู่ท้อง ทำให้อยากกินจุกจิกตลอดเวลา และเป็นสาเหตุที่ทำให้การควบคุมน้ำหนักยากมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะฉะนั้นโครงการนี้จึงต้องการสร้างกระแสสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงและการเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยเรื่องการรับประทานข้าวและชวนให้คนไทยหันมากินข้าวมากขึ้น

เตือนกินสมุนไพร ที่มีไฟโตเอสโทรเจน

เตือนกินสมุนไพร ที่มีไฟโตเอสโทรเจน thaihealth
ความกลัวว่า มดลูกไม่ดี  เป็นความกลัวที่ซ่อนเร้นในจิตใจของผู้หญิงจำนวนมาก เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้สมุนไพรที่มีส่วนประกอบสารเคมีเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ที่เรียกว่าไฟโตเอสโทรเจน ขายดิบขายดี ยอดขายเป็นหลายพันล้านต่อปี เช่น กาวเครือ ว่านชักมดลูก ตังกุย โปรตีนสกัดเข้มข้นจากถั่วเหลือง ฯลฯ
โดยสมุนไพรที่มีไฟโตเอสโทรเจนเหล่านี้จะโฆษณาว่า กระชับมดลูก กระชับช่องคลอด ขับประจำเดือน ทำให้มีลูกง่าย ซึ่งแล้วแต่การตีความ เพราะสมุนไพรที่มีฤทธิ์ฮอร์โมนเพศหญิง จะสามารถกระตุ้นอวัยวะสืบพันธุ์ของ เพศหญิง ที่ไวต่อฮอร์โมนเพศหญิง
ทำให้เต้านมขยายตัว รังไขโตขึ้นมีถุงน้ำเกิดขึ้น เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นจึงมีประจำเดือนมามากขึ้น กล้ามเนื้อมดลูกหนา ทำให้มดลูกโตขึ้น ปากมดลูกขยายประจำเดือนไหลออกมาได้ดีขึ้น ช่องคลอดหนาตัวมีน้ำหล่อลื่นมากขึ้น ในคนที่ไม่มีโรค กินสมุนไพร ไม่มาก ไม่กินต่อเนื่อง (ไม่นานเกิน 1 สัปดาห์) ผลที่เกิดขึ้นจะอยู่ชั่วคราว กลับมาสู่ปกติได้
แต่หากกินสมุนไพรต่อเนื่องจำนวนมาก เวลานาน หรือ กินในคนที่มีโรคต้องห้าม อาจจะเกิดโรคของเต้านม มดลูก รังไข่ ปากมดลูก ช่องคลอด หลอดเลือด ฯลฯ สำหรับการมีลูกง่าย การรับประทานสมุนไพรที่มีไฟโตเอสโทรเจน ไม่สามารถช่วยให้มีลูกง่ายได้โดยตรง แต่อาจจะช่วยทางอ้อม เช่นช่วยด้านจิตใจ ทำให้สบายใจ คลายเครียด มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งขึ้น
ไฟโตเอสโทรเจนนั้น พบในพืชผักกว่า 300 ชนิด แต่ส่วนใหญ่ มีฮอร์โมนเพศหญิงไม่มาก หากกินเป็นอาหารจำนวนไม่มาก ในคนที่ไม่มีข้อห้าม อันตรายน้อย และอาจจะลดการเกิดโรคของเต้านม มดลูก รังไข่ ปากมดลูก ช่องคลอด เพราะเป็นฮอร์โมนเพศหญิงชนิดอ่อนไปแย่งจับฮอร์โมนเพศหญิงจำนวนสูงในร่างกายกับเซลล์ที่รับฮอร์โมนเพศหญิง แต่หากรับประทานจำนวนมาก หรือรับประทานในรูปยาสำเร็จรูป ซึ่งได้มาจากการสกัด ตำ บด หรือเข้มข้นอาจทำให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนมาก จนเกิดอันตราย
ห้ามรับประทานไฟโตเอสโทรเจน เพราะจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพในคนที่มีโรค ดังต่อไปนี้
- เป็นโรคมะเร็ง หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง เต้านม โพรงมดลูก รังไข่ ปากมดลูก
เป็นโรคหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดอุดตันที่หัวใจ, ที่สมอง, ที่หลอดเลือดดำ
เป็นโรคตับ เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง มีค่าเอ็นไซม์ตับผิดปกติ- เป็นโรคมดลูก เช่น เนื้องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ช็อกโกแลตซีส
เป็นโรครังไข่ เช่น ซีสรังไข่ เนื้องอกรังไข่- เป็นโรคหัวใจ เช่น ลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจวาย ความดันโลหิตสูงมาก - เป็นไมเกรน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง- เป็นโรคภูมิแพ้ร่างกาย เช่นภูมิแพ้เอสแอลอี- เป็นคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ เพราะจะเกิดหลอดเลือดอุดตันที่หัวใจ หรือในสมอง

แนะเคล็ดลับสร้างหุ่นสวยด้วยโปรตีน

แนะเคล็ดลับสร้างหุ่นสวยด้วยโปรตีน thaihealth“ภาวะน้ำหนักเกิน” หรือ “โรคอ้วน” ไม่เพียงสร้างปัญหาในแง่ของภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นภัยเงียบของปัญหาสุขภาพในคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กๆจนถึงผู้ใหญ่วัยเกษียณ โดยเฉพาะโรคเรื้อรังหลายโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด แต่ถ้าสามารถควบคุมน้ำหนักได้ก็จะช่วยให้อาการของโรคทุเลาลงได้
ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโภชนบำบัดต่อมไร้ท่อและเบาหวาน บอกว่า ความอ้วนไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขไม่ได้ แต่ต้องแก้ไขให้ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ส่วนใหญ่การดูแลเบื้องต้นจะเน้นไปที่การควบคุมน้ำหนัก ด้วยการควบคุมอาหารตามหลักโภชนาการ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ อย่างถูกสัดส่วน โดยไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพียงเลือกรับประทานอาหารแต่ละหมวดหมู่อย่างเหมาะสม และต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
"มีการศึกษาพบว่าการลดน้ำหนักตัวลงไปเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ จากน้ำหนักที่เป็นอยู่ ก็สามารถช่วยให้การทำงานต่างๆ ของร่างกายดีขึ้นได้ ก็สุขภาพดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวานได้เกือบครึ่ง ลดไขมัน และความดันโลหิตสูง ฯลฯ" ศ.นพ.สุรัตน์ บอก
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักคือ มีความเชื่อหรือความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร อย่างเช่นบางคนเข้าใจผิดคิดว่าแค่ทานผักผลไม้ก็สามารถช่วยลดความอ้วนได้ นั่นเพราะยังไม่เข้าใจว่าในผักและผลไม้นั้นมีองค์ประกอบสำคัญคือคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ แป้งและน้ำตาล ที่ร่างกายจะเก็บสะสมได้ง่ายหากรับประทานมากเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อแป้งเปลี่ยนเป็นน้ำตาลร่างกายจะสะสมและเก็บซ่อนน้ำตาลเอาไว้ในรูปแบบอื่นเช่น ไขมันในเลือด ไขมันพอกตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะไขมันที่พอกตับที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคตับอักเสบได้ จึงไม่น่าแปลกที่หลายคนทานเพียงผลไม้แต่น้ำหนักกลับไม่ลดลง หรืออาจจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ก็เนื่องจากการรับประทานคาร์โบไฮเดรตที่แฝงอยู่ในผักและผลไม้นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังพบสิ่งที่น่าสนใจจากผลการศึกษาจากการเก็บข้อมูลจากผู้ป่วยน้ำหนักเกินจำนวน 1,000 คน พบว่า 30% ของคนที่มีปัญหาน้ำหนักตัว มักจะมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในทางกลับกันกลับพบว่ามีปริมาณไขมันในร่างกายมาก ผิวไม่เปล่งปลั่ง อ่อนเพลียง่าย
การศึกษาในคนอ้วนกลุ่มนี้ พบว่ามีผู้หญิงมากกว่าร้อยละ31 และผู้ชายกว่าร้อยละ 33 มีการบริโภคอาหารโปรตีนน้อย ชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่อ้วนนั้นไม่ได้เกิดจากการบริโภคอาหารเกินความจำเป็นเท่านั้น หากแต่ยังเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสัดส่วนด้วย โดยเฉพาะการรับประทานโปรตีนไม่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากโปรตีนที่อยู่ในกล้ามเนื้อทำหน้าที่ช่วยการเผาผลาญพลังงานของร่างกายให้ดีขึ้น พูดง่ายๆคือโปรตีนเป็นตัวเร่งการเผาผลาญนั่นเอง ที่สำคัญโปรตีนยังเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่ค่อยกักเก็บไว้ คือรับประทานแล้วร่างกายนำไปใช้เสริมสร้างอวัยวะต่างๆและเสริมสุขภาพและภูมิต้านทาน. ส่วนที่เหลือก็จะถูกขับทิ้งออกไป นอกเสียจากว่าร่างกายเกิดอาการบาดเจ็บหรือต้องการซ่อมแซมอวัยวะและกล้ามเนื้อ ร่างกายก็จะเก็บและนำไปใช้ในส่วนนั้นๆ
"หลักการง่ายๆคือ ในอาหารทุกมื้อควรต้องมีโปรตีน โดยคนเราต้องทานโปรตีนให้ได้ 1 กรัมต่อ 1 กิโลกรัมของน้ำหนักตัว เช่น คนน้ำหนัก 60 กิโลกรัม ต้องการปริมาณโปรตีน 60 กรัม แต่ในเนื้อสัตว์หรืออาหารประเภทโปรตีนที่เราทานนั้นมีโปรตีนอยู่เพียง 20% เท่ากับว่า ในแต่ละวันคนน้ำหนัก 60 กิโลกรัม จะต้องทางอาหารประเภทโปรตีนให้ได้ 300 กรัม (คูณ 5) จึงจะเพียงพอ" ศ.นพ.สุรัตน์ อธิบาย
จะเห็นได้ว่าการรับประทานโปรตีนที่มีคุณภาพเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักตัวเกิน ศ.นพ.สุรัตน์ แนะนำให้บริโภค ปลาน้ำจืด เช่นปลาช่อน ปลาสวาย ปลานิล ปลาทับทิม ซึ่งเป็นโปรตีนคุณภาพสูงจึงทำให้อิ่มเร็วขึ้น และย่อยง่าย โปรตีนจากปลายังเป็นแหล่งของโอเมกา-3 ที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและไขมันในหลอดเลือด ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ ป้องกันโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ เสริมสร้างเซลสมองและการมองเห็นในทารกตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา นอกจากนี้ ยังมีไข่ไก่ เนื้อไก่และเนื้อหมูไม่ติดมันที่เป็นโปรตีนให้เลือกรับประทานได้ในแต่ละมื้อ
ส่วนไขมันซึ่งร่างกายไม่ค่อยเผาผลาญอยู่แล้ว หากทานมากก็เก็บสะสมมากก็จะนำไปสะสมเช่นกัน ต้องรู้จักเลือกรับประทาน
สำหรับการควบคุมน้ำหนักตัวให้ได้ผล ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานทานอาหารอย่างถูกต้องและจริงจัง เนื่องจากผู้มีนำหนักเกินนั้นปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการบริโภคที่คล้ายคลึงกัน คือ ชอบรับประทานอาหารที่มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอาหารหวานมัน น้ำหวานในรูปต่างๆ ละหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแม้เพียงการเคลื่อนไหวตามปกติที่นานหน่อย
ดังนั้นต้องหันมาปรับพฤติกรรมการรับประทานใหม่ ด้วยการลดการทานอาหารที่มีกากใยน้อย เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาล น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มรสหวาน แต่เพิ่มการทานอาหารที่มีปริมาณกากใยมาก เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผลไม้ที่ไม่หวานจัด อาหารจำพวกถั่วเป็นของดีมีกากใยมาก แต่ก็ให้พลังงานมาก ถ้ากินมากเกินไป อาหารจำพวกผักเป็นสิ่งที่บริโภคได้มากโดยไม่จำกัด ลดการทานอาหารประเภททอด ที่ต้องใช้น้ำมันมากๆ ควรเลือกทานอาหารประเภทนึ่ง หรือต้ม หรือย่าง หลีกเลี่ยงการปรุงรสเพิ่ม แต่ใช้ความหวานตามธรรมชาติ หากจำเป็นต้องทานเช่นในกลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานสามารถใช้น้ำตาลเทียมทดแทนได้
นอกจากนี้ ศ.นพ.สุรัตน์ ยังแนะนำเทคนิคบันได 7 ขั้น ในการควบคุมน้ำหนัก คือ
1. รู้ตน ต้องตั้งใจเอาจริง รู้ว่าตนเองมีปัญหามากน้อยเพียงใด มีการตั้งเป้าในการลดน้ำหนักที่พอดีกับตนเอง ควรจะลดน้ำหนักเร็วเพียงใด เพราะหากเราลดน้ำหนักมากไป หรือเร็วเกินไป อาจไม่ช่วยให้เกิดสุขภาพที่ดี
2. รู้นับ คือ รู้ว่าในแต่ละวันเรารับประทานอะไรเข้าไปบ้าง
3. รู้แลก คือ รู้จักแลกเปลี่ยน รู้ว่าอะไรควรรับประทานอะไรควรงดเว้น
4. รู้แผน มีการวางแผนการรับประทานอาหาร โดยอาจกำหนดเมนูอาหารในแต่ละมื้อ รู้จักหลีกเลี่ยงในการที่อาจจะต้องเจอในแต่ละวัน
5. รู้ขยับรู้จักการเคลื่อนไหว โดยอย่างน้อยวันหนึ่งควรออกกำลังกายประมาณ 20 นาที
6. รู้ทบทวน หาเวลาเพื่อนั่งทบทวนว่าในแต่ละวันเรารับประทานอะไรเข้าไปบ้าง กินอะไรแล้วได้ผลดี สังเกตสุขภาพ ร่างกายตัวเอง มีอะไรต้องแก้ไข อาจใช้บันทึกประจำวัน
7. ชวนเปลี่ยนแปลง วิธีการอย่างนี้ไม่ต้องเข้มงวดเกินไป ไม่ได้เร่งแต่ไม่ช้า
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือเคล็ดลับง่ายๆในการลดน้ำหนัก ที่เชื่อว่าทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว ว่าต้องสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม หากหัวใจของการลดน้ำหนักให้สำเร็จนั่น ก็ขึ้นอยู่กับวินัยและความตั้งใจเป็นหลักด้วย และต้องคิดอยู่เสมอว่า "you are what you eat" คือ "กินอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น" นั่นคือ กินแต่พอดี พอเหมาะ และสมดุล เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีและน้ำหนักตัวที่เหมาะสมอย่างยั่งยืน

วิตามินอี ดีหรือโทษอย่างไร

หนึ่งในวิตามินที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระเอกที่ช่วยปกป้องร่างกาย คงหนีไม่พ้น “วิตามินอี” ซึ่งจากความน่าสนใจในประโยชน์ต่างๆ ดึงดูดให้ผู้บริโภคหลายๆ คนใช้วิตามินอี โดยลืมคำนึงถึงความจำเป็นที่ควรจะได้รับหรือโทษที่อาจเกิดขึ้นเมื่อได้รับมาจนเกินความต้องการของร่างกาย บทความนี้จึงต้องการให้ความรู้กับผู้บริโภค เพื่อให้เข้าใจถึงความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ และโทษต่างๆ ของวิตามินอีมากยิ่งขึ้น

วิตามินอี ดีหรือโทษอย่างไร thaihealth

วิตามินอี สำคัญอย่างไร ?
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน จัดเป็นหนึ่งในวิตามินที่สำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ โดยวิตามินอีจะช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและการอุดตันของเส้นเลือด ลดการเกิดกระบวนการอักเสบในร่างกายที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ และยังมีฤทธิ์อื่นๆ อีกมากมาย มีหน้าที่เบื้องต้นเสมือนฟองน้ำที่คอยดูดซับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “สารต้านอนุมูลอิสระ”
เราจะรับ วิตามินอี ได้จากที่ใดได้บ้าง ?
อาหารที่สำคัญซึ่งมีวิตามินอีมาก ได้แก่ พืชผัก ผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่จะเจริญเป็นต้นใหม่ (germ) เมล็ดพืช หรือ ธัญพืช แต่ก็พบว่าออกซิเจนและความร้อนสามารถทำลายวิตามินอีได้ รวมไปถึงการแช่แข็งเป็นเวลานาน ก็ทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินอีได้เช่นกัน ดังนั้นการบริโภคผักหรือผลไม้สดจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายได้รับได้ นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำนมมารดา โดยเฉพาะน้ำนมมารดาหลังคลอด (colostrum) ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ให้วิตามินอีในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน
จะทราบได้อย่างไร เมื่อร่างกายขาด วิตามินอี ?                   
โดยปกติจะไม่พบการขาดวิตามินอีจากการขาดสารอาหาร แต่มักพบจากความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน เช่น การทำงานของตับ ตับอ่อน และลำไส้ผิดปกติ หรือมีโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่มีอาการผิดปกติของระบบประสาท (เดินเซ) ร่วมกับการขาดวิตามินอี (ataxia with vitamin E deficiency) นอกจากนี้ยังพบการขาดวิตามินอีได้ในทารกคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ผู้ที่มีพังผืดจับในถุงน้ำดี (cystic fibrosis) รวมทั้งในผู้ที่ขาดเอนไซม์ กลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (G-6-PD) ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได้ ซึ่งการขาดวิตามินอี ต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะเริ่มมีสัญญาณการเกิดความเสียหายของระบบประสาทปรากฏขึ้น เช่น สูญเสียการรับสัมผัสและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า สูญเสียความรู้สึกทางกาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาเรื่องการกลอกตาและทรงตัวได้ยาก เป็นต้น ดังนั้นในผู้ที่ขาดวิตามินอีจึงควรได้รับการแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดความเสียหายดังกล่าว
จะเป็นอย่างไร เมื่อร่างกายได้รับ วิตามินอี มากเกินไป?
โดยปกติร่างกายจะรับปริมาณวิตามินอีขนาดสูงได้ดี แต่อาจพบอาการท้องอืด อาเจียน ท้องร่วง ท้องเสีย ปวดท้อง ปวดหัว ตาพร่า อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ได้บ้างในบางราย รวมถึงอาจพบอาการเลือดไหลไม่หยุดในผู้ที่ขาดวิตามินเค และในผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ แต่โดยส่วนมากแล้ว ถ้าได้รับในขนาดไม่เกินวันละ 800 IU จะมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ส่วนวิตามินอีในรูปที่ปรากฏอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทาผิว อาจพบอาการแพ้ทางผิวหนังจากการสัมผัส (contact dermatitis) ได้ในบางราย
ประโยชน์ของ วิตามินอี ที่นำมาใช้ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง ?
อย่างแรก คือ ยา นอกเหนือจากบทบาทการเป็นวิตามินผู้ปกป้องร่างกายแล้ว วิตามินอียังมีบทบาทในการเป็นยารักษาโรค โดยทางด้านการแพทย์ จะใช้รักษาโรคโลหิตจางในทารกแรกคลอดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร ใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อขาเวลาเดิน และใช้สำหรับต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อีกมากมาย
อย่างที่สอง คือ เครื่องสำอาง วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีการนำมาใช้มากชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางสำหรับผิว โดยใช้เป็นสารกันหืน ใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใช้ผสมในครีมกันแดด เพื่อช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยลดความเกรียมแดดของผิวหนัง และช่วยสมานผิวหนัง ซึ่งฤทธิ์บางอย่างนี้ อาจจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
อย่างที่สาม คือ อาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีการใช้วิตามินอีเป็นสารกันหืนในอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิตามินอีเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยจะใช้เพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันการเกิดโรค และลดความรุนแรงของภาวะต่างๆ โดยภาวะบางอย่างยังคงต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม
วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญในการกวาดล้างสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ซึ่งทำให้กลุ่มนักวิจัยเกิดความสนใจและเกิดการศึกษาวิจัยทางด้านคลินิก และการนำไปใช้ประโยชน์ในมนุษย์ ในด้านความสวยความงามก็จัดได้ว่าเป็นวิตามินที่ถูกนำมาใช้มากตัวหนึ่งในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตามการรับประทานวิตามินอีควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยต่อตัวผู้บริโภคเอง

เคล็ดลับป้องกัน 'ออฟฟิศซินโดรม'

เคล็ดลับป้องกันออฟฟิศซินโดรม thaihealth
ปัญหาหลักของสาวชาวออฟฟิศที่หลีกยังไงก็ไม่พ้น ก็คงจะเป็นการที่ต้องนั่งหน้าจอเป็นเวลานานๆ จนปวดหลัง เสียสุขภาพ และบุคลิกกันรัวๆ สมัยนี้ออฟฟิศซินโดรมเป็นกันให้เกลื่อน เพราะสาวๆ แต่ละคนนั่งทำงานยิงยาวตลอดทั้งวัน
อีกทั้ง เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยิ่งทำให้ความจำเป็นในการลุก นั่ง เดินออกจากเก้าอี้ยิ่งเป็นเรื่องยาก และไอ้ความขี้เกียจลุกนี่แหละเป็นสาเหตุให้สาวๆ ปวดหลัง ปวดไหล่ เส้นยึด รวมทั้งกลายเป็นมีบุคลิกภาพที่ไม่ดีด้วยอย่าลืมนะคะซิส การขลุกอยู่ที่โต๊ะทำงานแล้วก้มคอมองหน้าจอทั้งวัน ย่อมทำให้เกิดแรงกดทับช่วงลำคอ หลังโก่ง รวมทั้งเป็นสาเหตุให้เกิดไมเกรนได้อีกด้วย และขอกระซิบบอกอีกนิด การกดทับเป็นเวลานานๆ จะทำให้ก้นบานด้วยนะ…บานนะไม่ใช่งอนเด้ง สองอันนี้ไม่เหมือนกันนะจ๊ะ
เรามาดูเคล็ดลับป้องกันออฟฟิศซินโดรม ที่ทำง่ายๆ ในออฟฟิศกันเลยดีกว่า ยิ่งทำช้าอาการยิ่งหนัก อันนี้ช่วยไม่ได้นะคะ นั่งถูกวิธีตามสุขลักษณะรึเปล่า? มั่นใจว่านั่งได้ตัวตรงถูกตามสุขลักษณะ ฝ่าเท้าต้องวางเรียบติดกับพื้น (ในกรณีที่ไม่มีที่วางเท้ามารองรับ) ไม่ควรไขว้ขา หรือนั่งไขว่ห้าง พยายามวางขาให้ได้ 90 องศากับสะโพก ถ้าทำไม่ได้ ลองปรับระดับความสูงของเก้าอี้ดู ที่สำคัญระดับความสูงของหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรอยู่พอดีกับระดับสายตา เพื่อที่ว่าคุณจะได้ไม่ต้องก้มหน้า หรือเงยหน้าทำงาน ซึ่งอาจจะทำให้ปวดคอในระยะยาวหลังต้องตรงเพื่อบุคลิกที่ดีนั่งหลังตรง อาจจะฟังดูขำๆ และแอบประหลาดนิดหน่อย แต่เวลานั่งทำงานอยู่บ้าน ลองหาอะไรมารัดบริเวณใต้วงแขน เพื่อรั้งให้หลังของคุณติดพนักเก้าอี้ตลอดเวลา หรือง่ายที่สุด ลองหาหมอนสุขภาพมารองหลังดู วิธีนี้จะช่วยจัดระเบียบกระดูกสันหลังไม่ให้โค้งงุ้มไปได้ลุกเดินบ้าง
อย่านั่งหน้าคอมแบบยิงยาวหลายชั่วโมงทุกๆ 2 ชั่วโมง หาโอกาสลุกไปดื่มน้ำ กินกาแฟ หรือเดินไปหยิบเอกสารที่พรินเตอร์เพื่อช่วยให้คลายเส้น เวลายืนอย่าลืมเกร็งก้นเข้าหากันเล็กน้อยยืดหยุ่นร่างกายกันซะหน่อย อย่าปล่อยเอาไว้เฉยๆทุกครั้งที่ลุกขึ้นยืน เกร็งสะโพกไปด้านหน้าเล็กน้อย เพราะการนั่งทำให้สะโพกหดตัว
การยืนแอ่นสะโพกเป็นการช่วยยืดกระดูกเชิงกราน และบาลานซ์ให้หลังไม่เมื่อยจนเกินไปออกกำลังกายหลังส่วนบนให้ร่างกายใช้กล้ามเนื้อบ้างออกกำลังหลังบน การนั่งติดเก้าอี้อยู่เป็นเวลานานอาจทำให้กล้ามเนื้อหลังบนไม่แข็งแรง แม้เราจะพยายามปรับมานั่งหลังตรงแล้ว แต่กล้ามเนื้อหลังบนจะถูกใช้งานอย่างเต็มที่แค่ช่วงเริ่มต้นเพียงไม่นาน แล้วก็จะไปเน้นกล้ามเนื้อส่วนอื่นแทน 
การออกกำลังหลังบนจึงเป็นสิ่งสำคัญ- นอนราบลงกับพื้น กางขาให้เท่ากับระยะสะโพก ใช้สองมือรองใต้ศีรษะต่างหมอน- หายใจเข้า ยกศีรษะ แขน และหน้าอกขึ้นมาจากพื้น พยายามจัดระเบียบให้อวัยวะทั้งสามยกขึ้นเป็นแผ่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องยกสูง- ทำซ้ำ 6 ครั้ง ก่อนจะพักในท่า Child Post (นอนหงาย งอเข่า เอามือกอดเข่ามาแนบชิดอก) บุคลิกและสุขภาพที่ดีนั้นเริ่มต้นที่ตัวเราค่ะ ถ้าอยากจะสวยมีบุคลิกดีและที่สำคัญไม่เสียสุขภาพ ก็จงนำเคล็ดลับป้องกันออฟฟิศซินโดรม ที่เรานำมาเสนอไปใช้ตามโดยพลันเลยนะซิส อย่าปล่อยให้เรื่องปวดหลังเป็นอุปสรรคในชีวิตนะคะ